12.4.2020 Human's Mind : พออยู่บ้านขึ้นมาจริงๆ มันก็ไม่ 'ลงตัว' อย่างที่คิดสินะ
ถึง คุณไดอะรี่
แต่เอาเข้าจริงๆ ปัญหาที่เกิดกลับไปใช่เรื่องงานเลยแม้แต่น้อย เราพบว่าเราค่อนข้างมีสมาธิมากกว่าตอนอยู่ที่ออฟฟิศด้วยซ้ำ เราบังคับตัวเองให้เข้าออกงานเป็นเวลา เราไม่ต้องเสียเวลาตื่นเช้าแต่งตัวเดินทาง เราปรับบาลานซ์ในการยกงานมาทำที่บ้านได้ดีที่เดียว สามารถวางแผนงานให้เสร็จได้ตามเวลา เข้าออกงานตามเวลา แต่กลายเป็นว่าปัญหามันดันมาโผล่ที่ชีวิตส่วนตัวนี่สิ
ในช่วงสัปดาห์แรกแม่งแย่จริง คือด้วยความที่คิดว่าอยู่บ้านจะลุกขึ้นมาทำงานตอนไหนก็ได้ กลับกลายเป็นว่าการที่เราลุกจากที่นอนตอน 8.45 น. เพื่อมาเปิดคอมแล้วเริ่มทำงานตอน 9.00 น. นี่มันทำให้ประสิทธิภาพการทำงานหดลงอย่างเห็นได้ชัด ความเมาขี้ตา ความโหยหาที่นอน ความขี้เกียจ มันยังวนเวียนในขณะที่ต้องเริ่มทำงาน พอเครื่องเริ่มติดก็เริ่มทำงานยาว ถึงเวลาพักก็ไม่ค่อยอยากพักเลยต้องเอาจานข้าวมานั่งกินข้างๆ คอมไปด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นคือ 1. อิ่มก่อนข้าวหมด เพราะกินไปพักไปจนอิ่มไปเอง กับข้าวกับปลาเหลือตลอด กับ 2. หมดตอนไหนไม่รู้ ไม่รู้ตัว จะหันไปกินอีกคำคือชามข้าวเกลี้ยงซะแล้ว
สรุปคือสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย เหมือนร่างกายทำทุกอย่างแบบอัตโนมัติ ไม่ได้รับรู้รสชาติ จำไม่ได้ว่ากินข้าวหมดไปตอนไหน พอเริ่มตกใจกับพฤติกรรมตัวเองแบบนี้เลยเริ่มคิดว่าแบบนี้ไม่ได้การ เราจะกลายเป็นมนุษย์บ้างานจนไร้สติแบบนี้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่แล้ว
อีกเรื่องที่ค่อนข้างเป็นเรื่องปวดหัวคือการติดอยู่ในบ้านกับมนุษย์อีกคน ตั้งแต่มีเรื่องโรคระบาด เราย้ายมาอยู่กับแฟนที่คอนโดของเค้า ช่วงแรกๆ อะไรๆ ก็โอเคไปหมด เราถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ต่างคนต่างใจเย็น มีอะไรก็ เออๆ ช่างมัน เอาใหม่ แต่พอผ่านไปเกือบเดือน ความใจเย็นมันเริ่มลดลง เพิ่มเติมคือความเครียดของคนสองคนที่ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน ไม่ว่าจะจากการงาน หรือความเครียดที่เราต้องเก็บตัวเองอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมทั้งวัน ทุกวัน
เราเริ่มระเบิดใส่กันบ้างในบางครั้งที่สมองตะโกนใส่หัวใจว่า "กุไม่ไหวแล้ว! กุจะไม่ทน!" เราเริ่มเป็นคนนิสัยไม่ดี เบื่อ นอยด์ ไม่อยากพูด เลือกที่จะอยู่เงียบๆ ดีกว่า พูดไปก็ทะเลาะกัน โชคดีที่แฟนเราค่อนข้างที่จะโตกว่ามากๆ เค้าเป็นฝ่ายเริ่มใจเย็นก่อนแล้วเลือกที่จะใช้วิธีพูดคุยกัน ลองเล่าว่าแต่ละคนมีปัญหาอะไร ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกเราจะทำยังไงกันดี เพราะไม่ว่าจะเป็นการตะโกนใส่กันหรือการเงียบใส่กันมันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาในการที่เราจะอยู่ด้วยกันเลย มีแต่จะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงเท่านั้น ในที่สุดเราก็ตัดสินใจกันว่าจะใจเย็นและพูดคุยกันให้มากที่สุด
ฟังเหมือนง่าย แต่พอต้องทำจริงๆ แม่งโคตรยากเลยว่ะ
แต่เราก็คิดว่าที่ผ่านมาเราทำได้ค่อนข้างดีทีเดียวนะ เราไม่ใช่เด็กวัยรุ่นวัยใสแล้วที่จะต้องรอให้ใครมาง้อ หรือเอะอะก็บอกเลิก เราอยู่ในวัยที่สร้างความสัมพันธ์ การเดินหนีจึงไม่ใช่ทางออกอีกต่อไป เราเริ่มปรับตัวเองเพื่อเผชิญกับปัญหามากขึ้น พูดคุยถึงต้นตอของปัญหาและหาทางออกร่วมกัน ซึ่งที่ผ่านมาวิธีนี้ถือว่าได้ผลอยู่ ตราบใดที่เรายังสามารถเข้าใจกันได้ก็คงต้องจับมือสู้กับมันไปเรื่อยๆ แบบนี้ล่ะนะ
-------------------------------
Comments
Post a Comment